Obsidian Entertainment ได้กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีพร้อมกับ The Outer Worlds 2 ภาคต่อของ Action-RPG Sci-Fi ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการจิกกัดระบบทุนนิยมแบบหน้าตาย ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาแค่เพื่อขยายโลก แต่เป็นการยกระดับทุกองค์ประกอบของเกมให้ใหญ่ขึ้น ลึกขึ้น และที่สำคัญ อันตรายขึ้นกว่าภาคแรกอย่างชัดเจน หากคุณคาดหวังเกมที่สานต่อลายเซ็นดั้งเดิมของ Obsidian ในการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยทางเลือกและผลลัพธ์ที่ตามมา ภาคนี้ไม่ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
โลกที่ใหญ่และมืดหม่นกว่าเดิม: Arcadia Colony
The Outer Worlds 2 จะโยนผู้เล่นเข้าสู่ระบบอาณานิคม Arcadia ที่กำลังเผชิญกับปัญหารอยแยกมิติลึกลับที่คุกคามการดำรงอยู่ของทุกคนและแน่นอนว่าแทนที่บริษัทใหญ่ ๆ จะรวมพลังกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจและเครื่องมือสำหรับสงครามระหว่างสามขั้วอำนาจหลัก คือ The Protectorate The Glorious Dawn และ Corporate Invaders
ตัวเกม ฯ ยังคงรักษาอารมณ์ขันและเสียดสี ในการนำเสนอเรื่องราว แต่ยอมรับเลยว่าโทนเรื่องโดยรวมนั้น มืดหม่นกว่าเดิมมาก ความตลกขบขันยังคงอยู่ แต่เบื้องหลังความไร้สาระนั้น มีผลกระทบที่หนักหน่วงรอการตัดสินใจของผู้เล่นอยู่ทุกเมื่อ การสำรวจดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างด้วย Unreal Engine 5 นั้นให้ภาพที่คมชัดและรายละเอียดที่สวยงามอย่างก้าวกระโดด โลกแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่ทุ่งทะเลทรายที่เต็มไปด้วยร่องรอยสงครามไปจนถึงเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟนีออน การออกแบบของฉากนั้นถูกยกระดับมีความหนาแน่นและซับซ้อน ทำให้การหาทางลัดหรือใช้สกิลเฉพาะทางในการสำรวจเป็นเรื่องสนุกที่ถูกคิดมาอย่างดี
ระบบสกิลและเพื่อนร่วมทาง
สิ่งที่เป็นแกนหลักของ The Outer Worlds 2 คือระบบ RPG ที่กลับมาพร้อมการปรับปรุงที่ตอบโจทย์แฟน ๆ อย่างมาก ภาคนี้ Obsidian ตัดระบบ Attributes แบบเดิมออกไป และเน้นไปที่ Skills มากขึ้น โดยแต่ละ Rank ของสกิลจะส่งผลกระทบที่สำคัญต่อการเล่นและปลดล็อกตัวเลือกในการสนทนาและปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมอย่างชัดเจน
ระบบ Flaws ที่เป็นเอกลักษณ์ยังถูกนำกลับมาใช้แต่มีความหมายมากขึ้นไม่ใช่แค่การแลก Perk Point เท่านั้น แต่ Flaws แต่ละอย่างจะมาพร้อมกับสถานะและเงื่อนไขเฉพาะที่ส่งผลต่อการเล่นอย่างมีนัยสำคัญจริง ๆ เช่น การเล่นแบบ Dumb ที่จะทำให้ตัวละครของเราไม่สามารถพัฒนาสกิลบางอย่างได้ แต่จะปลดล็อกบทสนทนาโง่ ๆ แปลก ๆ ที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้
ความสามารถในการสร้างตัวละครที่แตกต่างและการเลือกเส้นทางในเควสที่หลากหลาย ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ Outer Worlds 2 กลายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับคนบ้า RPG อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ปืนเจรจา ใช้การแฮ็กหรือใช้เสน่ห์ในการเกลี้ยกล่อมทางเลือกของคุณจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของกลุ่มและทิศทางของเรื่องราวในท้ายที่สุด
เพื่อนร่วมทางที่ไม่ใช่ Yes-Man อีกต่อไป
จุดเด่นที่สุดที่ถูกพูดถึงของเกม The Outer Worlds และถือเป็นการอัปเกรดที่สำคัญคือ Companions ในภาคแรก เพื่อนร่วมทีมทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมเดินทางที่มีเรื่องราวส่วนตัว แต่ในภาคนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับอิสระในการตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ และมีความเป็นตัวของตัวเองที่สูงขึ้นมาก
Companions แต่ละคนถูกผูกติดอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์และอุดมการณ์ของตนเองอย่างชัดเจน เช่น Aza ที่เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิคลั่งรอยแยกมิติและ Inez แพทย์สนามที่ทำงานให้กับ Auntie's Choice ความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ใช่แค่การเพิ่มโบนัสแต่เป็นการจัดการความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าตกใจ
Obsidian ประกาศชัดเจนว่าหากผู้เล่นเลือกเส้นทางที่ขัดต่อความเชื่อหรือผลประโยชน์ของ Companions อย่างรุนแรง พวกเขาจะไม่ได้แค่บ่นหรือออกจากยานเท่านั้น แต่พวกเขาอาจพลิกมาต่อสู้กับผู้เล่นจนถึงขั้นฆ่ากันตายได้เลยซึ่งระบบนี้เป็นการเพิ่มความตึงเครียดและทำให้การตัดสินใจแต่ละครั้งมีน้ำหนักทางอารมณ์อย่างแท้จริง
เกมเพลย์และระบบการต่อสู้
ด้าน Gunplay ที่เคยถูกแฟน ๆ บ่นในภาคแรก ได้รับการขัดเกลาจนรู้สึกหนักแน่นและตอบสนองได้ดีขึ้นมาก Obsidian ใช้แนวทางที่อิงจากมาตรฐานเกมยิงร่วมสมัยทำให้การยิงการเคลื่อนไหว และการสไลด์หลบมีความลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกในการใช้เมาส์และคีย์บอร์ดนั้นยอดเยี่ยม ส่วนบนคอนโทรลเลอร์ก็มีตัวเลือกการปรับแต่งที่ละเอียดยิบ นอกจากนี้การเพิ่มอาวุธวิทยาศาสตร์สุดประหลาดเข้ามาอีกเพียบ เช่น ปืนไรเฟิลมือหมุน Planet Killer หรือ Pop Gun ที่ยิงโฆษณาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจศัตรู ก็ช่วยเพิ่มมิติให้การต่อสู้ไม่น่าเบื่อและยังคงเอกลักษณ์ความกาวของเกมไว้
อย่างไรก็ตามหัวใจหลักของการต่อสู้ยังคงอยู่ที่การใช้กลยุทธ์ผ่านระบบ Tactical Time Dilation (TTD) ซึ่งกลับมาพร้อมความสามารถใหม่ ๆ ที่ช่วยให้คุณวางแผนการต่อสู้ได้ลึกกว่าเดิม เราสามารถใช้ TTD เพื่อเล็งทำลายชิ้นส่วนเฉพาะของศัตรูหรือใช้ร่วมกับ Perk ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา เช่น การสไลด์ตัวพร้อมยิงเพื่อสร้างคอมโบสุดอันตรายในสนามรบ การเลือก Perk และ Flaws ที่มีผลต่อ Combat จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะมันกำหนดสไตล์การต่อสู้ของคุณได้ตั้งแต่ต้นเกม
ที่สำคัญคือภาคนี้มี Stealth Mechanics ที่ละเอียดกว่าเดิมมาก ทั้งระบบการตรวจจับที่ชาญฉลาดขึ้น และ Stealth Kills ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงผลดาเมจแบบตัวเลขที่แม่นยำ จะช่วยให้ผู้เล่นสายลอบเร้นรู้ทันทีว่าการโจมตีแอบซุ่มนั้นคุ้มค่าต่อการเสี่ยงหรือไม่ การที่ตัวเกมไม่มีการปรับระดับเลเวลศัตรูตามผู้เล่นแล้ว ทำให้การเลือกใช้กลยุทธ์ลอบเร้นเพื่อจัดการศัตรูที่แข็งแกร่งตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นทางเลือกที่มีความหมายอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเล่นแบบ RPG ที่เน้นการตัดสินใจของผู้เล่นได้อย่างสมบูรณ์
สรุป
The Outer Worlds 2 คือบทพิสูจน์ว่า Obsidian Entertainment ยังคงเป็นเจ้าแห่ง RPG ที่เข้าใจหัวใจของเกมประเภทนี้อย่างแท้จริง มันไม่ใช่แค่การขยายขนาด แต่เป็นการเพิ่มความลึกให้กับทุกปฏิสัมพันธ์ ทุกตัวเลือก และทุกความสัมพันธ์ในเกมการยกระดับกราฟิก และระบบ Companions ที่พร้อมจะหักหลังผู้เล่นได้ทุกเมื่อ คือสิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นอย่างมาก
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวที่เข้มข้น การสนทนาที่เฉียบคม และความรู้สึกที่ว่าทุกการกระทำมีความหมายนี่คือเกมที่ผู้เล่นไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด ส่วนผู้เล่นที่เน้นแอ็กชันแบบเต็มรูปแบบอาจจะต้องทำใจกับจังหวะการเล่นที่ยังคงเน้นการสำรวจและบทสนทนาเป็นหลัก แต่โดยรวมแล้วมันคือการผจญภัยในอวกาศที่บ้าคลั่งและสนุกสนานที่สุดที่คุณจะหาได้ในปีนี้
อย่างไรก็ตามตัวเกมมีความเฉพาะกลุ่มค่อนข้างสูง แต่สำหรับผู้ที่ชอบ RPG สายสนทนา มีทางเลือกเยอะ และไม่ติดใจกับแอกชันที่แค่พอใช้ได้ นี่คือเกมที่ใช่เลย คะแนนสำหรับ The Outer Worlds 2: 8/10 (ดีมาก)
The Outer Worlds 2 วางจำหน่ายในวันที่ 30 ตุลาคม 2568 บนแพลตฟอร์ม PlayStation5, Xbox Series X/S และ PC (Steam)
ทีมงาน P4G ขอขอบคุณทาง XBOX สำหรับตัวเกมสำหรับการรีวิวมา ณ ที่นี้
รีวิวโดย TidGame of the Universe48 (แมวหิมะน้ำตาล)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
0 ความคิดเห็น